จิตอาสาจากใจสาธารณะ

เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลง ด้วยกิจกรรมจิตอาสา กับ ' เหน่ง ' 

 

            ผมไม่ชอบเรียน ผมไม่ชอบทำงานส่งอาจารย์ เกรดผมนะเหรอ 0.5 ก็เต็มที่แล้ว ผมชอบเล่นเกมส์ อาจารย์กับเพื่อนๆบอกว่าผมทำตัวไร้สาระไปวันๆ เวลาอยู่บ้านผมก็ไม่อยากช่วยงานอะไร พอผมเดินออกจากบ้านแม่ก็จะบ่นตามหลังแทบทุกครั้ง นี่คือ…ชีวิตประจำวันที่ผมเป็น ก่อนที่ผมจะเข้าร่วมเป็นนักเรียนแกนนำเยาวชนจิตอาสา ในโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนจิตอาสาในสถานศึกษา ของมูลนิธิกระจกเงา ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด) มหาชน

            เหน่ง หรือ แว่น (ที่เพื่อนๆเรียกกัน) นายดำรงศักดิ์ สุพรเงิน ว่าที่นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนกุนนทีรุทธารา มวิทยาคม เป็นลูกชายคนเล็กของพ่อแม่ เป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ชอบเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ และมีสไตล์การแต่งตัวแนว Hip Hop ชอบเล่นดนตรี ถนัดการเล่นกีต้าร์ ซึ่งเขาได้ร่วมกับเพื่อนตั้งวงดนตรีในโรงเรียน ชีวิตประจำวันของเหน่งไม่ได้สนใจในเรื่องการเรียนมากนัก ติดเพื่อน และแอบหลับในชั่วโมงเรียนเป็นประจำ เหน่งทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจอยากจะทำเท่านั้น ซึ่งเรื่องที่สนใจไม่เกี่ยวกับการทำประโยชน์เพื่อสังคมเลย แต่มาวันนี้ สิ่งที่เคยเป็นชีวิตประจำวันของเหน่งได้เปลี่ยนแปลงไป หลังจากการได้เข้าร่วมเป็นแกนนำเยาวชนจิตอาสาของโรงเรียนนั่นเอง

            เหน่ง กับ กิจกรรมเยาวชนจิตอาสาครั้งแรกที่โรงพยาบาลเด็ก เหน่งเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกแรกว่า “ ผมไม่รู้เลยว่าเค้าให้ผมมาทำอะไร รู้แค่ว่ามาศึกษาดูงานจิตอาสาเท่านั้น แต่พอมาถึงต้องทำกิจกรรมเลย ก็งงๆนิดหน่อย ดีที่พี่ๆเค้าช่วยแนะนำ ผมก็เลยทำกิจกรรมตามๆเค้าไป ผมไม่คิดเลยว่าจะมีเด็กที่ป่วยตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ความรู้สึกของผมครั้งแรกที่เห็นคือ รู้สึกสงสารเด็ก วันนี้ผมเลยคิดว่า ถ้าผมทำอะไรได้ผมก็จะทำให้เต็มที่ และการมาที่นี่ ทำให้ผมได้อุ้มเด็กเป็นครั้งแรกด้วยครับ

 

            หลังจากกิจกรรมครั้งแรกผ่านไป กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิดให้กับเหน่งเป็นอย่างมาก จากการที่เหน่งได้เห็นผู้ป่วยเด็กบางคนขาดโอกาสที่จะเรียน ขาดการใช้ชีวิตที่เป็นอิสระในสังคมภายนอกอย่างปกติ แต่ผู้ป่วยเด็กเหล่านี้ยังมีกำลังใจในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย ยังมีความฝันที่จะเรียน และออกไปสู่การใช้ชีวิตที่ปกติได้ในสังคมภายนอก สิ่งเหล่านี้มันทำให้เหน่งคิดได้ว่า ตัวเขามีโอกาสได้เรียน ทำไมจึงไม่เรียน มีโอกาสได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆอีกมากมาย ทำไมจึงไม่ลงมือทำ เมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเองจึงทำให้เข้าใจในความสำคัญของการเรียน ผ่านการทำกิจกรรมมาประมาณ 4 เดือน ทุกวันนี้ เหน่งบอกตัวเองว่า ต้องตั้งใจเรียน และหาโอกาสทุกครั้งที่มี เพื่อไปทำกิจกรรมสร้างความสุขให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล และทำประโยชน์ในรูปแบบอื่น จากเกรดเฉลี่ยที่เคยได้เพียง 0.5 มาวันนี้ เหน่งมีเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.82 ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ทั้งอาจารย์ และ พ่อแม่ ต่างพากันทึ่ง กับสิ่งที่เหน่งทำได้ และได้ทำเพื่อคนอื่นๆอีกด้วย ครูบอกว่า “ เหน่งมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากเด็กที่เกเรมากๆ ไม่ชอบเข้าเรียน ไม่ชอบทำงานส่ง ชอบหนีไปนอน พ่อแม่ยังเอาไม่อยู่ ซึ่งพอเหน่งได้เข้าร่วมทางโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนจิตอาสาในสถานศึกษา มูลนิธิกระจกเงา และได้ไปลงพื้นที่ทำกิจกรรมก็ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของเขา ภาพที่เขาอุ้มเด็กป่วย ถือเป็นภาพที่น่าชื่นชมและประทับใจ เพื่อนๆเขาก็บอกว่า เหน่งเปลี่ยนตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ครูคิดว่าต่อไปเหน่งจะสามารถเป็นแกนนำเยาวชนจิตอาสาต้นแบบในการทำกิจกรรมให้กับเด็กในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ” อาจารย์สุภาภัค กล่าว

 

            ปัจจุบัน เหน่งยังคงมาร่วมลงพื้นที่ทำกิจกรรมสร้างความสุขให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลเด็กและโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอยู่เสมอเมื่อมีเวลาว่าง จากไอดอลของเด็กเกเร ประจำโรงเรียนที่ปล่อยชีวิตไปวันๆ มาวันนี้ เหน่งน่าจะเรียกได้ว่า เป็นไอดอลของเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนที่อยากทำงานอาสาสมัคร ทำประโยชน์เพื่อสังคม ถือได้ว่า เหน่งเป็นตัวแทนแกนนำเยาวชนจิตอาสา ที่สร้างสิ่งที่เรียกว่า ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างแท้จริง
            “ เมื่อก่อนผมไม่รู้หรอกว่า ผมจะทำอะไรเพื่อคนอื่นได้บ้าง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมสามารถทำอะไรได้อีกมาก เพื่อคนอื่นที่เขามีโอกาสน้อยกว่าเรา ผมว่าผมมีความสุขนะที่ได้ทำ และผมก็คิดว่าวัยรุ่นก็สามารถทำอะไรดีๆ เพื่อส่วนรวมได้อีกมากมาย ” เหน่งกล่าวทิ้งท้าย

'จุดเริ่มต้นของการทำความดี' 

อย่าบอกว่าไม่มีเวลา....เพราะเรามีเวลาเท่ากันทุกคน

 

หน้าที่การงานกับความดีมักเป็นเส้นขนานที่ไม่เคยมาบรรจบกันในชีวิตคนส่วนใหญ่ คนเราจะทำดีก็ต่อเมื่อว่างเว้นจากการทำงานก่อนเสมอ บ้างก็บอกว่าไม่มีเวลา บ้างก็บอกว่าแค่ทำชีวิตของฉันให้อยู่รอด ไม่เดือดร้อนใครก็พอแล้ว แต่เรื่องราวเพียงไม่กี่บรรทัดถัดจากนี้ เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่ทำให้เรารู้ว่า เด็กสาวคนนี้ยืนอยู่ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่

          เธอบอกว่า...โอกาสและเวลาแห่งการทำดีมีอยู่ทุกหนแห่ง แต่เราต้องเป็นผู้ก้าวออกมาจากโลกแคบๆ ของตัวเองเสียก่อน 

           
นางสาวณฐพรรณ นิมิตรพรสุโข
หรือ“ไอซ์”นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนจิตอาสาในสถานศึกษา ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิกระจกเงา ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด) มหาชน ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพและการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมให้มีจิตสาธารณะจากการเรียนรู้สังคมนอกห้องเรียน  รวมถึงการลงมือทำ และได้เห็นข้อเท็จจริงในปัญหาที่ประสบมาด้วยตนเอง   

 

วันนี้ไอซ์ได้เรียนรู้ว่า โลกภายนอกยังมีผู้ด้อยโอกาสอีกมากมาย...

        จุดเริ่มต้นคนอาสา...มาจากใจ
-โดยส่วนตัวแล้ว“ไอซ์”เป็นเด็กสาวอารมณ์อ่อนไหว เมื่อใดที่พบเห็นผู้ที่กำลังเดือดร้อนก็มักเข้าไปช่วยเหลือ  ไอซ์บอกว่าเห็นใครที่กำลังทุกข์ยาก ก็อดที่จะรู้สึกสงสาร เห็นใจไม่ได้ และไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะเอื้อเฟื้อน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้อยู่เสมอ กอรปกับเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งชอบทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ  ไอซ์จึงเข้าไปช่วยเหลืองานชุมนุมจิตอาสาของโรงเรียน อันเป็นที่มาให้เธอได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
        “หนูชอบช่วยเหลือคนอื่น เห็นใครก็สงสารเขาไปหมด คิดว่าเรามี แต่คนอื่นไม่มีอย่างเรา ก็อยากแบ่งปันให้เขาได้มีบ้าง มีในที่นี้ก็คือของที่จำเป็น สิ่งที่เขาควรได้ควรมี สิทธิที่เขาน่าจะได้มีเหมือนเรา เด็กอีกเยอะแยะที่เขาไม่มีที่เรียน ไม่มีหนังสือ ในเมื่อเราพอมีก็อยากที่จะช่วยให้เขาได้เรียนด้วย นิดหนึ่งก็ยังดี”
         
เรียนและงาน ความดีคือหน้าที่ –แม้แต่ละวันไอซ์จะต้องฟันฝ่ากับการเรียนอย่างหนัก เพื่อที่จะสอบเข้าเรียนต่อชั้นอุดมศึกษา  แต่ “ไอซ์” ก็ไม่ปล่อยให้การสอบมาเป็นอุปสรรคหรือข้อจำกัดในการทำกิจกรรมของเธอ และการเป็นหัวหน้าชุมนุมจิตอาสาในโรงเรียนยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่า“ชีวิตไม่ควรที่จะเร่งเรียนให้เก่งอย่างเดียว”หากแต่การฝึกฝนตนเองเพื่อเรียนรู้โลกนอกห้องเรียนน่าจะทำให้ชีวิตมีความหมายและคุณค่าขึ้นมาได้บ้าง จึงพยายามบริหารเวลาให้เหมาะสม มีวินัยในตัวเองเพื่อไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีปัญหา ทั้งยังมีน้องๆ ม.ต้นในชุมนุมที่เปรียบเสมือนต้นกล้าใหม่ให้ไอซ์และเพื่อนๆม.ปลาย ได้เพาะพันธุ์ส่งต่อความดีงามต่อไป 
          ไอซ์บอกว่า กิจกรรมของชุมนุมก็มีหลายอย่าง ทั้งการรับบริจาคหนังสือเพื่อนำไปให้เด็กด้อยโอกาส ไปบริจาคสิ่งของให้โรงเรียนทุรกันดาร ไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง ฯลฯ แล้วแต่ว่าเราจะจัดกิจกรรมอะไรขึ้นมา จะร่วมกันคิดแล้วปรึกษากับคุณครู ซึ่งในชุมนุมจะมีสมาชิกประมาณ 20 คน บางครั้งเราก็ไปชักชวนเพื่อนๆ จากชุมชุมอื่นมาร่วมกิจกรรมด้วย คือทุกคนสามารถมาร่วมกันทำความดีได้หมด ก็พยายามชักชวนสมาชิกให้ได้มากที่สุด

 

              จิตอาสา –ความทรงจำที่น่าประทับใจจากปัญหาระดับประเทศโจรใต้ซุ่มยิงชุดคุ้มครองครู  ผู้ก่อการร้ายลอบวางระเบิดทหารชุดลาดตระเวน เด็กขอทาน โรงเรียนยากจน คนแก่ข้ามถนน ไปจนถึงสถานการณ์พื้นๆ อย่างเช่น คนตาบอดขึ้นรถเมล์ “ไอซ์” บอกว่าเราทุกคนสามารถเข้าไปมีบทบาทใดบทบาทหนึ่งได้เสมอ วันนี้ไอซ์จึงเลือกทำกิจกรรมจิตอาสาในโรงพยาบาล ด้วยการเข้าไปดูแลผู้ป่วยเด็กที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) และผู้ป่วยทหารโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยลักษณะกิจกรรมที่ทำมีจุดมุ่งหวังเพื่อสร้างรอยยิ้ม ความสุขให้แก่ผู้ขาดโอกาสเหล่านี้ ผ่านกิจกรรมสันทนาการ อาทิ เล่นดนตรี เล่นเกม สอนเด็กวาดรูป จัดบอร์ดนิทรรศการอ่านนิทาน และพูดคุยเพื่อคลายเครียดกับผู้ป่วย เป็นต้น
     “ประสบการณ์สอนให้รู้ว่ายังมีคนอื่นด้อยโอกาสกว่าเรา เรามีโอกาสแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต ใครที่อยากลองทำกิจกรรมแบบนี้ก็ลองดูว่าตัวเองถนัดอะไร ถึงแม้ไม่มีเวลาที่จะไปทำงานกับโรงพยาบาล แต่ก็ทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย เพราะสังคมไทยยังมีเรื่องที่ต้องการน้ำใจอยู่อีกเยอะมาก เราถนัดด้านไหนก็ไปทางนั้น อย่าบอกว่าไม่มีเวลาเพราะเรามีเวลาเท่ากันทุกคน” 
      
ติดตามความฝัน...ทุกวันคือการทำดีแม้ว่าสิ่งของและกำลังใจที่ไอซ์นำไปมอบให้ผู้ไร้โอกาสอาจไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมายพอที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ หากแต่ไอซ์ก็สุขใจจากการ “ให้” เล็กๆ น้อยๆ โดยบอกว่า ความดีนั้นคงไม่ได้ทำกันแค่วันเดียว ครั้งเดียว เดือนละครั้งสองครั้ง หากแต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ทำตลอดเวลา เท่าที่กำลังเราจะเอื้ออำนวย และแน่นอนความใฝ่ฝันของเด็กสาวผู้นี้คงไม่ได้หยุดลงเท่านี้ “ไอซ์” ยังวาดหวังถึงอนาคตข้างหน้าว่าอยากทำงานเป็นพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้ทุกๆ วัน

      “ตั้งใจไว้ว่าจะสอบเข้าคณะพยาบาล เพราะเราชอบที่จะได้ช่วยเหลือคน ชอบดูแลคนอื่น ใจรักด้านนี้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ลองไปสัมผัสงานจิตอาสาที่โรงพยาบาลเด็กดูก่อน นอกจากได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ยังได้ฝึกนิสัยตัวเอง ไม่ให้เอาเปรียบคนอื่น ได้รู้จักแบ่งปัน ได้ดูแลจิตใจคนป่วย การช่วยเหลือคนอื่นไม่ต้องป่าวประกาศให้ใครรับรู้ เพียงเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ก็มีความสุขแบบง่ายๆ ได้แล้ว”

       
ไม่ว่าปลายทางของการทำความดีจะไปถึงจุดสูงสุดที่ใด ก็คงไม่สำคัญเท่ากับ อย่างน้อยยังมีสิ่งน่ายินดีให้ผู้ทำดีได้มีความสุขกับตัวเองทุกๆ วัน
 

 น.ส.ณฐพรรณ  นิมิตรพรสุโข “ไอซ์”
นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กทม.

สน.จิตอาสา ก่อการดี

“สน.จิตอาสา” กลุ่มเด็กก่อการดี

 

          เล่นกีฬา ร้องเพลง เรียนพิเศษ เตรียมสอบเอนทรานซ์ ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้อาจเป็นเพียงการทำเพื่อตัวเอง แต่วันนี้มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันนำเสนอแนวความคิดเพื่อ“ออกไปช่วยคนอื่นๆ” โดยตั้งชื่อกลุ่มเด็ดๆ  กลุ่ม “สน.จิตอาสา” สน.ที่ไม่ใช่สถานีตำรวจใดๆ แต่มาจากชื่อย่อของโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรุงเทพฯ นั่นเอง

          สาวน้อยวัยละอ่อน น้องมน นางสาวมณฑารัตน์ สุจีรกุลไกร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่... ตัวแทนจากกลุ่ม สน.จิตอาสา เล่าถึงกิจกรรมเด็ดๆ ที่กลุ่มเคยทำให้ฟังว่า “กลุ่มของหนูเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆที่รวมตัวกันกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนเพราะอยากทำอะไรเพื่อสังคมบ้างค่ะ”

“การทำอะไรเพื่อสังคม” ที่น้องมนกล่าวถึงนั้น เริ่มจากกิจกรรมง่ายๆ  อาทิ  การจัดนิทรรศการในโรงเรียนเนื่องในวันสำคัญต่างๆ เช่น ในวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันสุนทรภู่ กวีเอกของไทยและของโลก รวมทั้งยังเป็นวันต่อต้านยาเสพติดโลก โอกาสดีนี้เพื่อนในกลุ่มก็จะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติกวีเอกให้ความรู้กับเพื่อนในโรงเรียน พร้อมกับจัดทำใบความรู้เรื่องยาเสพติดควบคู่ไปด้วย จุดประสงค์ในการทำงานนี้ เพื่อที่จะนำความรู้เหล่านี้ไปแลกกับการบริจาคเงินตามกำลังของเพื่อนๆ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะกลายเป็น “กำลังสำคัญ หรือเงินกองกลาง”เพื่อที่จะนำไปจุดประกายความคิดดีๆ ให้สังคมต่อไป

น้องมนบอกว่า“หลังจากรวมตัวกับเพื่อนได้ระยะหนึ่ง จึงตั้งเป็น“ชุมนุมสน.จิตอาสา” ขึ้นมา ทำให้มีโอกาสสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เช่น ในวันแม่ เราจะช่วยกันทำ “ดอกไม้จากกระดาษทิชชู่” เพื่อนำไปมอบให้กับคุณแม่ ทำให้เพื่อนๆ ในชุมนุมไม่ต้องเสียเงินซื้อดอกไม้ราคาแพง หรือนำดอกไม้ที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ไปขายตามงานของโรงเรียนก็ได้ การทำงานของชุมนุมนั้นสมาชิกทุกคนมีสิทธิ์นำนำเสนอแนวความคิดได้ว่าจะนำเงินกองกลางไปทำประโยชน์อย่างไรได้บ้าง”

ประโยชน์ที่เธอว่าก็มีต่อเนื่อง คือ การนำเงินไปช่วย มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม คลองเตย มูลนิธิที่เกิดขึ้นมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอ่อนวัย0 - 5 ปีในชุมชนแออัด เขตกรุงเทพฯ ชุมชนแออัดซึ่งเกิดขึ้นจากผู้คนที่อพยพย้ายถิ่นจากชนบทมาสู่เมืองหลวง ด้วยความเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถหางานทำและมีชีวิตที่ดีขึ้นแต่เมื่อไม่มีที่อยู่อาศัยจึงสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมาบนที่ดินของผู้อื่นที่พอจะสร้างบ้านได้ และอยู่กันอย่างแออัด ทำให้เด็กๆที่อยู่ในครอบครัวเหล่านี้ต้องเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งเสื่อมโทรม บางแห่งเต็มไปด้วยปัญหายาเสพติดและอันตรายต่างๆ

การเข้าไปช่วยเหลือเด็กอ่อนที่อยู่ในชุมชนแออัดให้ได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมทั้งทางร่างกายและจิตใจเท่าที่พอจะทำได้จึงเป็นไอเดียเด็ดหนึ่งของน้องๆ

“ หนูกับเพื่อนๆได้มีโอกาสเข้าไปที่มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ   ก็นำเงินที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆไปมอบให้น้องๆ สำหรับใช้เป็นกองทุนอาหารกลางวันของเด็กที่นั่น และซื้อของใช้ที่จำเป็นอย่างเช่นนมผง ของเล่น เสื้อผ้าเด็ก หรือหากได้รับของบริจาคเป็นเสื้อผ้าผู้ใหญ่ ทางมูลนิธิฯ ก็จะไปจัดแผงขายและนำเงินเข้ามูลนิธิฯเพื่อที่จะนำไปช่วยเหลือน้องๆต่อไป”

“ ความประทับใจของหนูเมื่อได้ไปทำกิจกรรมร่วมกับน้องๆที่นี่ คือ ได้มีโอกาส “กล่อมน้อง” เข้านอนค่ะ เล่นเอาตุ๊กตาหมีมาบอกน้องว่า ถ้าไม่นอนเดี๋ยวพี่หมีไม่รักนะ น้องคนหนึ่งแกล้งหลับตา พอเผลอก็แอบลืมตามาดูอีก และบอกว่าพี่อย่าหนีไปไหนนะ ถ้าหนูตื่นขึ้นมาขอให้พี่ยังอยู่กับหนูนะ ประโยคนี้เมื่อได้ฟังแล้วหนูพูดไม่ออกเลย  เพราะเด็กที่นี่หลายคนพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลและบางคนพ่อแม่เลิกกัน” การได้ไปสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆจึงเป็นความประทับใจของน้องมน

            นอกจากการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเพื่อนๆในโรงเรียนน้องมน ยังมีโอกาสดีที่ได้เข้าอบรมในโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนจิตอาสาที่ดำเนินการโดย มูลนิธิกระจกเงา ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  ทำให้น้องมนได้มีโอกาสไปอบรมกับพี่ๆ กระจกเงา ทำให้ได้รับทั้งความรู้เรื่องของจิตอาสาในโรงพยาบาล ได้รับคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรเมื่อไปเจอน้องๆ ผู้ป่วยในโรงพยาบาล ควรชวนน้องเล่นกิจกรรมอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้น้องกลัว หรือใช้คำพูดอย่างไรเพื่อที่จะให้กำลังใจแก่น้องที่กำลังเจ็บป่วย

น้องมนบอกว่า หลังเข้าร่วมอบรมแล้วก็กลับมาร่วมคิดกับเพื่อนๆ ว่าจะไปทำกิจกรรมที่โรงพยาบาลไหนดี อาจจะเลือกที่โรงพยาบาลเด็ก และกำลังเลือกว่าจะไปวันไหน โดยอาจจะเป็นช่วงวันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ ซึ่งก็จะนำ “เงินกองกลาง”จากการที่เคยทำกิจกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยในกิจกรรมนี้ด้วย สำหรับกิจกรรมที่คิดไว้ คือ สอนน้องวาดรูป ระบายสีตามจินตนาการ หรือเล่านิทานให้น้องฟัง และหากมีเวลาก็อยากไปช่วยในสถานที่อื่นต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่จะมีโอกาส

วันนี้“น้องมน”กับกลุ่มเพื่อนๆ ยังคงจุดประกายแนวความคิดของการ “ออกไปช่วยเหลือคนอื่นๆ”ผ่านชุมนุม สน.จิตอาสา ที่เปรียบสถานีรับเรื่องราวจากสมาชิกทุกคนให้ได้ก่อการดีสู่สังคมอย่างไม่หยุดยั้ง 

///////////////////////////////////////

 

นางสาว มณฑารัตน์ สุจีรกุลไกร  “น้องมน” นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ 

โทร. 085-939-7377, 080-449-4755 E-mail: montarap_monaloisa12@hotmail.com

'ป๋อมแป๋ม' อาสาสมัครจิตอาสาใน รพ. เรียนรู้ชีวิต ... จากพี่ผู้ป่วยทหาร ภาคใต้

 

            ใครๆ ก็รู้ว่านอกห้องเรียนยังมีโลกกว้างให้เรียนรู้อีกมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเยาวชนทุกคนจะพาตนเองก้าวพ้นขอบประตูห้องเรียนไปสัมผัสกับ ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ เช่นที่สาวน้อยอย่าง “ป๋อมแป๋ม” นางสาวสุทธิดา วงศ์กัลยา นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย และเพื่อนๆ ที่ได้เข้าไปสัมผัสความคิด จิตใจ ตลอดจนความทุกข์ร้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของพี่ๆ ผู้ป่วยทหารหาญ ผู้ทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติในพื้นที่ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้...
           ป๋อม แป๋ม เกริ่นนำว่า ตัวเธอเองเป็นคนร่าเริง เฮฮากับเพื่อน ง่ายๆ สบายๆ ไม่เรื่องมาก เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ในครอบครัวที่มีฐานะพอกินพอใช้ วันว่างจากการเรียนก็ใช้ชีวิตไปตามประสาวัยรุ่นทั่วไป เที่ยวห้าง -ดูหนังตามศูนย์การค้า โดยใฝ่ฝันว่าโตขึ้นอยากเป็นแอร์โฮสเตส ขณะ เดียวกันก็ชอบทำงานจิตอาสา เคยไปเข้าค่ายอาสาพยาบาลของโรงเรียน และชอบดูรายการจิตอาสาตามทีวีช่องต่างๆ เพราะดูแล้วมีความสุข เห็นว่ากิจกรรมจิตอาสาเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
             อีก ทั้งป๋อมแป๋มยังมีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยมาก่อนแล้วเมื่อครั้งที่ยายป่วย และป๋อมแป๋มยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ขนมและอาหารแก่ผู้ป่วยสูงอายุเตียงข้างๆ หลายครั้งก็ช่วยพี่พยาบาลดูแลผู้ป่วยสูงอายุโดยไม่รังเกียจ  “ก่อน ยายจะเสีย แป๋มกับแม่จะผลัดกันไปดูแลยาย ยายกินเจมาตลอดชีวิต อาหารโรงพยาบาลบางอย่างไม่ถูกปาก ยายอยากกินน้ำพริก พยาบาลไม่ว่า แม่ก็ตำน้ำพริกมาให้ยาย เตียงข้างๆ ก็พูดออกมาว่าอยากกิน เราก็ว่าได้ เลยแบ่งให้เขาได้กินด้วย เพราะบางคนมาจากต่างจังหวัด ไม่มีลูกหลานมา เรามีน้ำพริกเขาอยากกินเราก็แบ่งให้ เราซื้ออะไรมากิน ก็จะถามเขาว่าอยากกินไหม เราก็จะถามนางพยาบาลว่าให้กินได้ไหม หากได้เราก็จะแบ่งให้เขาได้กินด้วย  “เมื่อ เราไปช่วยเหลือดูแลเขา เขาก็จะยิ้มให้แล้วบอกว่า หนูนี่ดีนะ ไม่เห็นเหมือนลูกหลานเขาเลย ถามว่าแม่บังคับมามั้ยเนี่ย ก็บอกว่าเปล่า ไม่ได้บังคับ หนูทำได้อยู่แล้ว”
          สำหรับ กิจกรรมอาสาสมัครในโรงพยาบาล ที่มูลนิธิกระจกเงาชักชวนให้ป๋อมแป๋มและเพื่อนนักเรียนโรงเรียนสันติราษฎร์ฯ และโรงเรียนนำร่องอีก 3 แห่งทำใน โครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนจิตอาสาในสถานศึกษา ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมภาคสนามครั้งแรกที่ทำร่วมกับหน่วยงานภายนอก ซึ่งเปิดพื้นที่ให้เธอและเพื่อนๆ ได้ทำกิจกรรมช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยเด็กเล็กในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหา ราชินี (รพ.เด็ก) ไปแล้วก็ไปชวนน้องพูดคุย อ่านนิทาน และเล่นเกมกับน้องๆ เพื่อคลายเหงา แต่ ที่ป๋อมแป๋มประทับใจและกระตือรือร้นอยากทำกิจกรรมมาก คือการชวนพี่ๆ ผู้ป่วยทหารที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ โรงพยาบาลมงกุฎเกล้า ทำกิจกรรม ซึ่งป๋อมแป๋มบอกว่าพวกเธอจะตั้งใจรอคอยวันที่พี่ๆ มูลนิธิกระจกเงาพาไปทำกิจกรรมทุกๆ สัปดาห์ เมื่อไปสัมผัสแล้วก็ทำให้ลบภาพพี่ๆ ทหารมาดเคร่งขรึม จนดูน่ากลัวออกไปจนหมด “ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ ไปหลายครั้งแล้ว เพราะนอกจากจะมีเวลาไปทำกิจกรรมได้สะดวกแล้ว พี่ๆ ทหาร เขาก็จะเฮฮากันมาก สนุกมาก พี่เขาไม่น่ากลัวอย่างที่คิด บางคนโดนระเบิดบาดเจ็บ เดินไม่ได้ก็เอาเหล็กดามขา แต่พี่เขาก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้ มีบ้างเหมือนกันที่ไปทีไรเขาก็จะนอนอย่างเดียว เพราะอาการป่วยของเขา บางคนก็อายุมากแล้ว” ป๋อมแป๋มว่า โดยอาการบาดเจ็บหลักๆ ของพี่ผู้ป่วยทหาร คือ การโดนระเบิด สารเคมี และบ้างก็ถูกยิง “เราก็ไปทำกิจกรรมกับ เขา เช่น การเล่นเกมบิงโก มีของรางวัลมาชิงกัน และการร้องเพลงคาราโอเกะ เอาโน๊ต -บุ๊คมาต่อกับโปรเจ็กเตอร์ ใช้กำแพงห้องทำกิจกรรมมาเป็นจอ ก็สนุกมาก”
             ป๋อม แป๋ม อธิบายว่า เหตุผลที่เธอและเพื่อนเลือกทำกิจกรรมกับพี่ทหารบ่อยครั้ง เพราะรับรู้ได้ถึงความเหงาและความทุกข์ใจที่พี่ๆ ทหารได้รับ บางคนมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด จากครอบครัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ เมื่อได้รับบาดเจ็บก็ถูกส่งตัวมารักษาที่กรุงเทพฯ ไม่มีญาติมาเยี่ยม จะพูดระบายกับใครก็ไม่ได้ เพราะต่างก็ตกในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งตอกย้ำซึ่งกันและกันมากขึ้นไปอีก
             “พี่ ทหารเขารู้กันอยู่ เขาก็อึดอัด พูดก็พูดไม่ได้ แต่พอเราเป็นคนนอก เราเข้าไป เขาก็เล่าให้เราฟังได้ ที่ๆ ไปก็มีพี่ทหารประมาณ 20 เตียง ก็ไปทำกิจกรรมกับพี่ๆ เขาเกือบทุกคน เวลาเราไปทำกิจกรรมก็ไปกันอย่างน้อย 7-8 คน หรือปกติก็ไปกันเป็นสิบ ก็มีพี่ๆ ที่กระจกเงาไปด้วย ไปทำกิจกรรมแล้วกลับมาก็มาชวนๆ เพื่อนให้ไปทำอีก”
           สาว น้อยผู้นี้บอกด้วยว่า การทำกิจกรรมกับพี่ๆ ทหารยังทำให้ตัวเธอเข้าใจสถานการณ์ในพื้นที่ความไม่สงบ และรู้สึกเห็นอกเห็นใจพี่ๆ ผู้ป่วยทหารมากขึ้น “แต่ก่อน แป๋มก็เป็นคนติดตามข่าวอยู่แล้ว อาของแป๋มทำร้านอาหารที่หาดใหญ่ และเคยมีเหตุระเบิดใหญ่ใกล้กับร้านของอาแป๋มแต่ไม่เป็นข่าว พี่ๆ เขาก็ช่วยอธิบายว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ให้เหตุผลว่าทำไม อย่างพี่ที่นี่คนนึงก็เพิ่งเจอเหตุการณ์มาเร็วๆ นี้ ก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่พี่เขาเจอ ที่เขาเคยปฏิบัติงานมา


 “เคย ถามพี่เขาเหมือนกันว่านี่พี่กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว พี่ไม่รู้สึกแย่เหรอ เราก็ถามเขาตรงๆ เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว พี่เขาก็ถามกลับมาว่า ถ้า เป็นเราๆ จะรู้สึกยังไง ก็บอกว่าถ้าเป็นเราคงรู้สึกแย่นะ ที่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าพี่เขามีครอบครัวแล้วมันก็ยิ่งลำบาก บางเรื่องที่พี่เขาเล่า เราฟังแล้วก็สะเทือนใจมากว่าเขาจะมาทำอย่างนี้ทำไม ทหารเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย เขาแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาเท่านั้นเอง” ป๋อมแป๋มเล่า  ทั้ง นี้ การทำกิจกรรมดีๆ ของป๋อมแป๋มและเพื่อนคงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียน และครอบครัวที่เข้าใจ อาจารย์จรรยา ธนะนิมิตร ผู้นำกิจกรรมดังกล่าวมาชักชวนลูกศิษย์ ยืนยันความเปลี่ยนแปลงของป๋อมแป๋มเมื่อได้ทำกิจกรรมว่า ลูกศิษย์คนนี้มีความพัฒนาการที่ดีขี้น “ป๋อมแป๋ม แต่เดิมดูเป็นเด็กที่เรื่อยเปื่อย แต่พอมาทำกิจกรรมแล้ว ทำให้เห็นแววว่าเขามีความเป็นผู้นำ ชักชวนเพื่อนๆ ทำกิจกรรมได้บ่อยๆ เขาลงพื้นที่บ่อยมาก ครูเองยังเห็นเขามีบุคลิกภาพดีขึ้น เพราะป๋อมแป๋มรู้แล้วว่าเขาจะต้องเป็นตัวอย่างให้แก่เพื่อนนักเรียน ครูเองเห็นพัฒนาการของเขา อยากเห็นเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขาก็กำลังพัฒนาให้ดีขึ้น”  ด้าน นายสมโภช คุณพ่อของป๋อมแป๋ม บอกว่า รู้สึกดีใจที่ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวรู้จักการให้ และมีใจเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ที่สำคัญป๋อมแป๋มยังมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักการให้ที่มีเหตุมีผล รู้จักการประมาณตนในการช่วยเหลือ หยิบยื่นน้ำใจให้ผู้อื่นโดยไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน
           “ผม ดีใจนะ คิดว่ามันเป็นกิจกรรมที่ดี พ่อมีเวลาเจอเขาไม่มาก เพราะต้องทำงานขับรถ แต่เขาก็เอามาเล่านิดๆ หน่อยๆ ว่าวันนี้ไปทำกิจกรรมกับพี่ทหารอย่างนั้นอย่างนี้มานะ เปลี่ยนแปลงเขาได้เยอะนะ เห็นความเห็นอกเห็นใจคนอื่น อยากหยิบยื่นของของเราให้คนอื่นบ้าง แต่ก็ทำอยู่ในขอบเขตที่ไม่ให้เราลำบาก ไม่ใช่ว่าสงสารเขามากก็ให้เขาจนเราเดือดร้อน น้องเขารู้ เขาเข้าใจ พ่อก็สบายใจ”
             ส่วน สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวของป๋อมแป๋มเอง เจ้าตัวกล่าวว่า สิ่งตอบแทนที่ได้รับจากกิจกรรมจิตอาสาใน รพ. คือความรู้สึกเป็นสุขใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลอยทำให้รู้สึกรักและจะทำกิจกรรมนี้ต่อไป.

รายละเอียดเพิ่มเติม: มูลนิธิสยามกัมมาจล

ได้ “ที”ทำดี เพื่อคนอื่นได้ “ที”ทำดี เพื่อคนอื่น “ฤทธิณรงค์รอน”

            โรงเรียนดังย่านบางกอกใหญ่ ที่มีสีประจำโรงเรียนคือสีเขียว ขาว ซึ่งมีความหมายว่าเป็นแหล่งรวมความสงบร่มเย็นแต่เข้มแข็งและอดทน สถานที่ตั้งของโรงเรียนนี้อยู่ในเขตกรุงธนบุรีที่ถือเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่า แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม จากสภาพแวดล้อมที่อบอวลไปด้วยธรรมชาติ กรุ่นกลิ่นไอแห่งวัฒนธรรม หน้าโรงเรียนมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน อีกทั้งยังแวดล้อมด้วยวัดวาอารามที่รุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีต ที่แห่งนี้จึงได้หล่อหลอมเด็กหนุ่มที่มีสายตายาวไกลเกินวัย น้องที หรือ นายที คงประดิษฐ์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หนุ่มหัวเกรียนในย่านกรุงเก่า น้องที บอกกล่าวถึงความเป็นมาในอุปนิสัยส่วนตัวว่า “ผมชอบทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจครับ ต้องหาอะไรทำที่นอกเหนือจากการเรียนอยู่เสมอ” และด้วยบุคลิกที่กระตือรือร้น รับผิดชอบในหน้าที่ที่นอกเหนือจากการเรียน ทำให้เข้าตาใครต่อใครหลายคน จนได้รับเลือกเป็น “ประธานนักเรียน” จากหน้าที่ความเป็นประธานนักเรียนนี้ทำให้ “ที” ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่กลับหากิจกรรมมาทำไม่เว้นแต่ละวัน “ผมมีกิจกรรมทำทุกอาทิตย์เลยครับ อย่างที่ทำอยู่ขณะนี้ คือ การเก็บขวดน้ำเปล่าซึ่งเป็นตราของโรงเรียนมาขาย จากที่เห็นว่าขวดน้ำเปล่าเหลือทิ้งก่อให้เกิดขยะ ผมกับเพื่อนๆ จึงรวบรวมขวดน้ำเปล่าเหล่านี้ไปขายให้กับพ่อค้าเพื่อใช้รีไซเคิลต่อครับ”

 


       น้องทีบอกว่า ราคาของขวดน้ำเปล่าที่มีตราของโรงเรียนนี้ จะขายได้ราคาสูงกว่าขวดน้ำทั่วไป เนื่องจากเป็นขวดน้ำที่ไม่สกปรก สามารถทำความสะอาดได้ง่าย พ่อค้าจึงให้ราคาอยู่ที่ขวดละ 1 บาท แต่หากเป็นขวดน้ำอัดลมหรือขวดอื่นๆ จะมีราคาที่ถูกกว่านี้ โดยในหนึ่งอาทิตย์จะเก็บได้เต็มถุงๆ ละประมาณ 200 ขวด อาทิตย์หนึ่งได้ประมาณ 4 ถุงคิดเป็นเงินเกือบ 800 บาทต่ออาทิตย์เลยทีเดียว เมื่อครบหนึ่งเดือนก็จะนำเงินนี้ไปฝากธนาคารเข้าบัญชีของคณะกรรมการนักเรียน สำหรับเงินที่ได้มา ทีและเพื่อนๆก็นำไปเป็นเงินกองกลางสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆในโรงเรียน เช่น เมื่อมีพิธีไหว้ครู เป็นต้น โดยเงินเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายของดอกไม้ ธูปเทียน หรือค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมต่างๆเพื่อโรงเรียน น้องที และเพื่อนๆ ไม่หยุดแค่นั้น แต่ยังริเริ่มจัดให้มี กิจกรรม Walk Rally ซึ่งจะรับสมัครนักเรียนในโรงเรียนและแบ่งเป็นกลุ่มละ 7 คน เพื่อให้แต่ละกลุ่มได้เดินทางไปในสถานที่สำคัญรอบๆโรงเรียน 6 แห่ง โดยให้เงินเพียง 300 บาทเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง “แต่ละกลุ่มจึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพราะจำกัดวงเงินแค่นั้น อย่างจะซื้อน้ำก็ต้องแบ่งกันทาน ทำเกิดการรู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกันด้วยครับ” สำหรับการสำรวจเส้นทางเพื่อศึกษาสถานที่สำคัญรอบโรงเรียน อาทิ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นเอก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และฟากตะวันออกของถนนอรุณอมรินทร์ ระหว่างคลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้งกับพระราชวังเดิม ที่มีประวัติน่าศึกษาอีกมากมายด้วยความเป็นวัดเก่าแก่โบราณสร้างมาแต่ครั้งสมัยอยุธยา

 


         น้องทีและเพื่อนๆ จึงกำหนดให้เป็นเส้นทางหนึ่งในกิจกรรมนี้ เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนได้มีโอกาสรู้จักสิ่งรอบตัวด้วยการไปศึกษาประวัติของวัดอรุณฯ รวมทั้งยังกำหนดกิจกรรมให้มีการขึ้นบันไดที่พระปรางค์วัดอรุณฯ ซึ่งสูงชัน เพื่อให้คนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้เกิดสติ สมาธิ และมีความอดทน หรือถ้าเอ่ยถึง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร สิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องนึกถึงคือ หลวงพ่อโต หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะที่มีชื่อเสียงของวัดนี้ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชน ท่านยังเป็นผู้ที่นำเอาบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากลังกามาดัดแปลงแต่งเติมให้สมบูรณ์ขึ้น จนกลายเป็น “พระคาถาชินบัญชร”ที่รู้จักกันดี กิจกรรรมของน้องทีและเพื่อนๆ จึงกำหนดให้มีโอกาสไปสวดคาถาชินบัญชรในวัดระฆังฯ ตามความเชื่อว่า จะส่งผลให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเกิดสิริมงคลแก่ตนเอง และเมื่อกิจกรรมศึกษาสถานที่สำคัญรอบๆ โรงเรียนเหล่านี้จบลง แต่ละกลุ่มจะต้องมาสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้เพื่อนๆ ทั้งหมดที่เข้าร่วมกิจกรรมฟัง เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้เกิดการเรียนรู้และสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในวัฒนธรรมความเป็นไทย ไม่หยุดแค่นั้นน้องทีบอกว่า “ผมยังทำ “โครงการคืนชีพให้กระดาษ (Paper ranger) ด้วยครับ โดยกิจกรรมนี้เป็นการตอบโจทย์กระดาษหน้าเดียวที่เหลือใช้ ซึ่งเพื่อนๆมักจะนำมาทำเป็นลูกบอลเตะเล่นบนอาคารหรือทิ้งเกลื่อนกลาดโดยไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร อีกทั้งหากจะนำมาชั่งกิโลขายก็ไม่คุ้มหรือจะทิ้งก็เสียดาย ผมกับเพื่อนๆจึงรับบริจาคกระดาษที่ใช้แล้วหน้าเดียวมาปรับปรุงใหม่ โดยการเข้าเล่มแปลงร่างให้สวยงามกลายเป็นสมุดจด ไดอารี่ หรือสมุดฉีกที่น่าใช้น่าเก็บ และนำผลงานเหล่านี้กลับมาขายให้กับผู้ที่สนใจด้วยราคาที่ถูกกว่า โดยจะนำเงินที่ได้เข้าสมทบกับเงินกองกลางเพื่อจะได้ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆของนักเรียนในโรงเรียนต่อไปด้วย” นอกจากนี้ น้องที ยังได้มีโอกาสทำกิจกรรมเพื่อคนอื่นๆต่อไปอีก

 

        จากการชักชวนของเพื่อนต่างโรงเรียนให้รู้จักกับ โครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนจิตอาสาในสถานศึกษา ที่ดำเนินการโดย มูลนิธิกระจกเงา ภายใต้การสนับสนุนจาก มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) “ครั้งแรกที่รู้จักโครงการนี้ ผมได้มีโอกาสไปสังเกตการณ์และร่วมลงพื้นที่ทำงานจิตอาสาในโรงพยาบาลเด็ก โดยมีพี่ๆจากมูลนิธิกระจกเงาคอยให้คำแนะนำ กิจกรรมที่ทำก็ไปวาดภาพระบายสี เป่าลูกโป่งให้น้องๆ ผู้ป่วย ครั้งหนึ่งได้เจอกับน้องกำลังนั่งร้องไห้ ผมเข้าไปคุย ชวนเล่น สักพักน้องก็เกิดอาการหอบ ผมต้องรีบวิ่งไปบอกพี่ๆ เจ้าหน้าที่พยาบาล หลังจากนั้นน้องมีอาการดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับจากการทำงานนี้ มันคือ ความภูมิใจ รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงาน” ด้วยความประทับใจนี้ทำให้ น้องที อยากทำความดีเพื่อคนอื่นอีก โดยการนำกิจกรรมเหล่านี้กลับไปริเริ่มที่โรงเรียน และขณะนี้กำลังวางแผนหาช่วงเวลาเหมาะสม เพื่อจะลงพื้นที่ทำงานจิตอาสาในโรงพยาบาล ภารกิจของประธานน้อย นักกิจกรรมตัวยง จึงยังคงดำเนินงานอย่างเข้มแข็งทำให้เกิดพลังที่จะได้ “ที” หาโอกาสทำความดีอย่างต่อเนื่อง

Content's Picture

Comment(s)


Vote this Content ?

Create by :


narissan

Status : ผู้ช่วยผู้ดูแลระบบ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี