การบริหารงานบุคคล

การบริหารงานบุคคล

“คน”  เป็นหนึ่งในปัจจัยทางการบริหารที่สำคัญและยอมรับกันทั่วไป เรียกย่อ ๆ ว่า “4  M’  s”     อันประกอบด้วย บุคลากร หรือทรัพยากรมนุษย์ (Man)  เงิน (Money)  วัสดุ  อุปกรณ์ (Materials)  และการจัดการ (Management) จะพบว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการบริหาร เพราะหากขาดกำลังคน ก็จะไม่มีตัวขับเคลื่อนปัจจัยอื่น ๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ในแต่ละองค์กรจึงหันมาให้ความสำคัญในการบริหารคนในองค์กรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันคือ การบริหารงานบุคคล 

ความหมายของการบริหารงานบุคคล

          คำว่า “การบริหารงานบุคคล”  มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า “Personnel  Administration”   หรือ “Personnel  Management”  ซึ่งมีผู้ให้คำจำกัดความไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้

          เฟอริคซ์ เอ ไนโกร (Felix  A.  Nigro)   ได้ให้นิยมว่า “Personnel  Administration  is  the  art  of  selection  new  employees  and  making  use  of  old  ones  in  such  manner  that  the  maximum  quality  and  quantity  of  output  and  service  are  obtained  from  the  working  force”

แปลว่า“ศิลปะในการเลือกคนใหม่และใช้คนเก่า ในลักษณะที่จะให้ได้ผลงาน และบริการจากการปฏิบัติงานของบุคคลเหล่านั้น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ”     

          สมพงศ์  เกษมสิน  มีความเห็นว่า “การบริหารงานบุคคลนั้น เป็นการจัดการ เกี่ยวกับบุคคลนับตั้งแต่การสรรหาบุคคลเข้ามาปฏิบัติงาน การดูแลบำรุงรักษา จนกระทั่พ้นไปจากการปฏิบัติงาน”

          ชูศักดิ์  เที่ยงตรง  กล่าวว่า “การบริหารงานบุคคล คือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้คนดี มีคุณวุฒิ และมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ มาทำงานด้วยความสนใจ พึงพอใจ อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล”

          จะเห็นได้ว่า การบริหารงานบุคคลมิใช่เพียงการเลือกและแต่งตั้งคนเข้ามาทำงาน           เท่านั้แต่เป็น     การดำเนินกิจกรรมการบริหารคนตั้งแต่เริ่มต้น นับตั้งแต่ก่อนบุคคลนั้นจะเข้าสู่องค์การ จนกระทั่งพ้นจากองค์การไป เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารองค์กรโดยรวม

หลักและระบบบริหารงานบุคคล

          ระบบการบริหารงานบุคคลโดยทั่วไปที่นิยมใช้มี 2 ระบบด้วยกัน คือ

          1. ระบบอุปถัมภ์ (Patronage  System หรือ Spoil System)  เป็นระบบดั้งเดิม โดยมีแหล่งกำเนิดมาจากจีนโบราณ ที่มักใช้การสืบทอดทางสายเลือด รวมไปถึง การนำสิ่งของ มาแลกตำแหน่ง   ลักษณะที่สำคัญ คือ

1)                  ไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ

2)                  ไม่เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเลือกสรร

3)                  มักมีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของหน่วยงาน

ข้อดี     -  รวดเร็ว แก้ไขสะดวก

                   -  มีความขัดแย้งในการตัดสินใจน้อย

                   -  เหมาะสมกับบางตำแหน่ง

                   -  สอดคล้องกับการปกครองที่มีระบบพรรคการเมือง

ข้อเสีย            -  ไม่มีหลักประกันว่าจะได้คนที่มีความรู้ ความสามารถ

                   -  มุ่งรับใช้คนมากกว่าหน่วยงาน

                   -  ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานไม่ดี

                   -  หน่วยงานพัฒนาได้ยาก

          2. ระบบคุณธรรม (Merit  System)  เกิดจากความพยายามที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง ของระบบอุปถัมภ์ โดยเป็นระบบการบริหารบุคคลที่อาศัยความรู้ ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก ไม่คำนึงถึง     ความสัมพันธ์ส่วนตัว มีลักษณะสำคัญดังนี้

          1)  หลักความสามารถ (Competence)  เป็นการถือความสามารถของบุคคลเป็นสำคัญ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ และต้องสามารถใช้ความรู้มาปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม             ได้อย่างเต็มที่

          2)  หลักความเสมอภาค (Equality  Opportunity)  เป็นการให้โอกาสที่เท่าเทียมกัน แก่บุคคลทั้งในการเข้าสู่การเป็นราชการและอยู่ในระหว่างการเป็นข้าราชการ  ซึ่งเป็นแนวคิดตามหลัก ประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสมอภาคแก่บุคคลภายในขอบเขตของกฏหมาย  โดยถือว่าทุกคน จะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคด้วยคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน

          3)  หลักความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่ (Security  of  Tenure)  ซึ่งต้องได้รับการยอมรับ       และคุ้มครองตามกฎหมาย คือจะไม่ถูกปลดออกหรือไล่ออกจากงานโดยไม่มีเหตุที่พิสูจน์ได้  หลักการนี้    มุ่งให้ข้าราชการเกิดความมั่นคงถาวรในอาชีพ  และเกิดความรู้สึกมั่นคงที่จะแสวงหาความเจริญก้าวหน้า   ในหน้าที่ของตน โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลส่วนตัวหรือทางการเมือง

          4)  หลักความเป็นกลางทางการเมือง  (Political  Neutrality)  คือ การที่ข้าราชการประจำ      ต้องเป็นกลางทางการเมืองและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มความสามารถ     โดยไม่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด  แต่ยังคงสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป

ข้อดี     -  สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตยที่เน้นความเสมอภาค

                   -  ได้คนดีมีความรู้ ความสามารถเข้ามาทำงาน

                   -  สร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน

                   -  ช่วยหน่วยงานมีประสิทธิภาพ

ข้อเสีย            -  ล่าช้า

                   -  ค่าใช้จ่ายในการสอบแข่งขันสูง

                   -  สร้างความสัมพันธ์แบบเป็นทางการมากเกินไป

                   -  ทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างจริงจัง

วิวัฒนาการการบริหารงานบุคคลภาครัฐ

          การบริหารงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ยุคกว้าง ๆ  ดังนี้

                   1.ยุคโบราณ หรือยุคดั้งเดิม  แนวความคิดรูปแบบนี้ ได้รับอิทธิพล จากนักวิชาการหลายคน  โดยมีจุดเริ่มต้นจากงานเขียนเรื่อง  “The  study  of  Administration”  ของ วู้ดโร วิลสัน (Woodrow  Wilson)  ในปี ค.ศ. 1887  ซึ่งพยายามแยกการบริหารบุคคลออกจากกิจกรรม ทางการเมืองอย่างเด็ดขาด  และหลังจากนั้นก็มีงานเขียนของนักวิชาการอีกหลายคน โดยแนวคิดในยุคนี้ จะเป็นการมองการบริหารงานบุคคล ในวงแคบ คือ เกี่ยวกับกระบวนการบริหารงานตั้งแต่การสรรหา การคัดเลือก การสอบ การเลื่อนขั้น         การจำแนกตำแหน่งการฝึกอบรม การออกจากราชการ และประโยชน์เกื้อกูลต่าง ๆ เป็นต้น โดยไม่สนใจ    กับสิ่งแวดล้อมภายนอกมองการบริหารงานบุคคล เป็นกลไกของฝ่ายบริหารที่มีสำหรับการควบคุมบุคคล (Management  Control  Activity)  มากกว่า จะมองครอบคลุม  ถึงความสัมพันธ์ของสมาชิกในองค์การ (People  - connected Activity) 

แนวความคิดในยุคนี้เป็นการรวมแนวความคิดในเรื่องการแยกการเมืองออกจากการบริหารอย่างเด็ดขาด เน้นความเป็นกลางทางการเมือง มีระบบคุณธรรมเป็นหัวใจในการบริหาร เป็นการบริหารที่มีลักษณะปราศจากค่านิยมเน้นแต่เทคนิคและประสิทธิภาพในการบริหารงาน และเป็นปัญหาทางการบริหารเท่านั้น ซึ่งแนวความคิดแบบโบราณนี้ ได้รับการท้าทาย และโจมตี จากนักวิชาการหลายท่าน นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวิวัฒนาการไปสู่แนวทางที่ 2

                   2.  ยุคใหม่  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการเริ่มเขียนบทความ โดยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ การแยกการบริหารออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาดว่าทำได้จริงหรือไม่  นักวิชาการรุ่นใหม่ พยายามอธิบายว่าจริง ๆ แล้ว การบริหารนั้นจะมีค่านิยมทางการเมือง เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา ปัญหาการบริหารงานน่าจะพิจารณาในแง่การเมืองมากกว่าเทคนิค นอจากนี้อีกประเด็นหนึ่งที่โดนโจมตีเป็นอย่างมากคือ เรื่องของ   หลักประสิทธิภาพ โดยในงานเขียนของเฟอริคซ์ เอ ไนโกร และลอยด์ จี ไนโกร ที่มีชื่อว่า “The  New  Public  Personnel  Administration” กล่าวว่า หลักประสิทธิภาพมีจุดอ่อนในตัวมันเอง 2 ประการคือ จะเป็นตัวทำลาย มากกว่าเป็นตัวช่วยเหลือ      เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงาน และหลักประสิทธิภาพมุ่งเน้นแต่เฉพาะกรรมวิธี และเทคนิคในการทำงานโดยมองข้ามความเป็นมนุษย์ในองค์การใดโดยสิ้นเชิง

          แนวความคิดที่ 2 นี้ จะมีมิติใหม่ของการบริหารงานบุคคล 3 ประการ คือ

1)                  เน้นหนักในการบริหารงานบุคคลในฐานะที่เป็นการเมืองมากขึ้น

2)                  ให้ความสำคัญกับค่านิยม

3)                  การจัดการเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ

          อาจกล่าวได้ว่า แนวความคิดในยุคนี้มองการบริหารงานบุคคล เป็นระบบย่อย ของระบบการเมืองจึงอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมือง ซึ่งพฤติกรรมของบุคลากร ในระบบจะถูกกำหนดโดยพลัง ในทางการเมือง ทั้งจากภายนอกและภายใน ระบบการคัดเลือกคน เข้าสู่ระบบราชการก็จะมุ่งเน้นเรื่อง ความเสมอภาคและความยุติธรรมเป็นสำคัญ

ดังนั้น จึงเน้นให้เกิดระบบราชการที่มีลักษณะสะท้อนความเป็นตัวแทน ของทุกกลุ่มของสังคม   จึงอาจสรุปได้ว่า ในยุคใหม่นี้จะเป็นการมองการบริหารงานบุคคลในแง่มุมที่กว้างขึ้น โดยมองที่ความสัมพันธ์ของบุคคลกับองค์กรและการปฎิสัมพันธ์ต่อกันในทุกมิติ มากกว่าที่จะมองแค่เป็น การควบคุมพฤติกรรม  ของบุคคลในองค์กรเช่นในยุคโบราณ

วิวัฒนาการการบริหารงานบุคคลภาครัฐในไทย

ระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐในประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานควบคู่กับระบบราชการ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งมักสืบเนื่องมาจากการปฏิรูประบบราชการ หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ยุคสำคัญ ดังนี้

  1. 1.                  ยุคระบบศักดินา – บรรดาศักดิ์

      ยุคนี้ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ลักษณะการบริหารงานบุคคลทุกอย่างจะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ ตลอดช่วงเวลานี้มีการปฏิรูปที่สำคัญอยู่ 2 ครั้ง กล่าวคือ ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ มีลักษณะ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของระบบราชการ ทำให้มีการแยกหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนขึ้น การใช้กำลังคนเริ่มเป็นไป ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ และอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือเป็นการปฏิรูป ครั้งสำคัญยิ่ง ในขณะนั้นไทย มีการติดต่อกับต่างประเทศ จึงได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเป็นอย่างมาก จึงมีการปฏิบัติการบริหารงานบุคคลตามแบบตะวันตก พร้อม ๆ กับการปฏิรูปการปกครองและการบริหาร       โดยพระองค์โปรดให้จัดตั้งกระทรวงขึ้น 12 กระทรวง แทน เวียง วัง คลัง และนา                                            ในแต่ละกระทรวงมีเสนาบดี เป็นผู้ปกครองผู้บังคับบัญชา และมีฐานะเท่าเทียมกัน ผลของการปฏิรูปก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 5 ประการคือ

1)                  แยกราชการทหารออกจากข้าราชการฝ่ายพลเรือนอย่างเด็ดขาด

2)                  มีการจัดการศึกษาฝึกอบรมและสอบแข่งขันคนเข้ารับราชการตามระบบคุณธรรม ในกระทรวงมหาดไทย แทนการฝากฝังและชุบเลี้ยงในระบบอุปถัมภ์แบบที่มีมาก่อน

3)                  เลิก“ระบบกินเมือง” จัดระบบจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ รวมทั้ง มีการจัดประโยชน์ตอบแทนรูปต่าง ๆ

4)                  เปลี่ยนลักษณะข้าราชการหัวเมืองจากลักษณะ “ข้าราชการปกครอง” หรือ “นายประชาชน”  ซึ่งทำหน้าที่ปกครองประชาชน มาเป็น “ข้าราชการพลเรือน”  หรือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”  ทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนและบริหารราชการแผ่นดิน

5) ส่งเสริมให้ข้าราชการไปรับราชการหัวเมือง โดยให้คนท้องถิ่นได้รับราชการในท้องถิ่นนั้น ๆ และให้คนที่รับราชการตามหัวเมืองได้รับประโยชน์เร็วกว่าและยิ่งกว่าคนที่รับราชการในกรุง

ลักษณะสำคัญของการบริหารงานบุคคลในยุคนี้คือ การสรรหาบุคคลเข้ารับราชการขึ้นอยู่กับ      ดุลยพินิจของพระมหากษัตริย์ แต่ในช่วงตอนปลายยุค ดุลยพินิจในการเลือกสรรบุคคลเข้ารับราชการ         ได้ยกมาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้ากระทรวงเป็นสำคัญ กล่าวคือ เจ้ากระทรวงแต่ละกระทรวงมีอิสระ          ที่จะสรรหาคนเข้ารับราชการได้ แต่ก็ยังมิได้มีการกำหนดมาตรฐานคุณสมบัติ หรือการควบคุมมาตรฐาน   ในการบริหารงานบุคคลเป็นส่วนกลาง

2.ยุคระบบมีชั้นยศ(พ.ศ.2472–2475) ยุคนี้เป็นยุคแรก ที่นำระบบคุณธรรม มาใช้ในการบริหาร  

งานบุคคลในราชการไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 การเข้ารับราชการถือเป็นสิทธิของประชาชนทุกคนตามหลักความเสมอภาคในโอกาส   จึงมีการเปิดโอกาส          ให้คนที่มีความรู้ ความสามารถเข้ารับราชการโดยการเลือกสรร อย่างเป็นกลางและยุติธรรม    ข้าราชการทุกคนได้รับเงินเดือนตามบัญชีเงินเดือนกลาง การจัดระเบียบบริหารงานบุคคลของราชการ ได้ทำอย่างเป็นระบบ โดยมีกฎหมายเกี่ยวกับระบบบริหารงานบุคคลในภาคราชการฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ซึ่งประกาศบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน พ.ศ. 2471 มีหลักการของระบบคุณธรรม ซึ่งปรากฏ ตามพระราชปรารภในตราพระราชบัญญัตินี้ ความว่า

“โดยที่มีพระราชประสงค์จะวางระเบียบข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปในทางเลือกสรร       ผู้มีความรู้ และความสามารถเข้ารับราชการเป็นอาชีพ ไม่มีกังวลด้วยการแสวงผลประโยชน์ในทางอื่น    ส่วนฝ่ายข้าราชการก็ให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น เนื่องจากความสะพรั่งพร้อมด้วยข้าราชการ                             ซึ่งมีความสามารถและรอบรู้ในวิถีและอุบายของราชการ กับหน้าที่และวินัยอันตนพึงรักษาเป็นนิตยกาล”

ตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดยศให้ข้าราชการพลเรือนคล้ายกับทหารด้วย การกำหนดเงินเดือน   เป็นไปตามยศ โดยยศข้าราชการพลเรือนมี 2 ชั้น คือ

1)                  ชั้นสัญญาบัตร  ประกอบด้วยยศต่าง ๆ คือ มหาอำมาตย์เอก มหาอำมาตย์โท มหาอำมาตย์ตรี รองมหาอำมาตย์เอก รองมหาอำมาตย์โท และรองมหาอำมาตย์ตรี

2)                  ชั้นราชบุรุษ มีชั้นยศตาเดียว คือ ราชบุรุษ

ในยุคนี้ประเทศไทยประกอบด้วยข้าราชการ 3 ประเภท คือ ข้าราชการทหาร ข้าราชการตุลาการ และข้าราชการพลเรือนข้าราชการพลเรือน จะมีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ.2471 โดยมีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เป็นองค์กรควบคุมการบริหารงานบุคคล ส่วนข้าราชการตุลาการนั้นมีบทบัญญัติในการบริหารงานบุคคล ตามพระราชบัญญัติซึ่งออกมาในปีเดียวกัน    คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลากรพ.ศ.2471 โดยมีคณะกรรมการข้าราชการตุลากร(ก.ต.)ทำหน้าที่เป็นองค์การกลาง ในการบริหารงานบุคคล

3.  ยุคระบบตำแหน่ง (พ.ศ. 2476 - 2478)  ในยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง          จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 ได้มีแนวคิด เกี่ยวกับการจัดระบบราชการ และการบริหารงานบุคคลในราชการ ให้สอดคล้องและทันสมัย เช่นเดียวกับประเทศตะวันตก จึงได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2476 ซึ่งกำหนดให้ยกเลิกยศและบรรดาศักดิ์ โดยเปลี่ยนโครงสร้างของระบบบริหารงานบุคคล มาใช้ตำแหน่งเป็นแกนหลักแทนชั้นยศ   มีการกำหนดเงินเดือนให้เป็นไปตามหน้าที่ของตำแหน่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือนช่วงนี้เป็นจุดเริ่มแรก ของการบริหารงานบุคคล ตามระบบตำแหน่งนั่นเอง

การปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานบุคคลครั้งนี้ ดำเนินการอย่างเร่งรีบและค่อนข้าง       เฉพาะเจาะจงบังคับ ทำให้ยากแก่การสับเปลี่ยนโยกย้าย ไม่คล่องตัวในการบริหารงานบุคคล จึงนำไปสู่    การแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลอีก ในปี พ.ศ. 2479 โดยกลับไปใช้ระบบชั้นยศ          เป็นแกนกลางเหมือนเดิม แต่ลดจำนวนชั้นให้เหลือเพียง 5 ชั้น

4. ยุคระบบมีชั้นและตำแน่ง (พ.ศ.2479 – 2517) ยุคนี้เป็นช่วงของการประกาศ ใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน 5 ฉบับ 

คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2479, 2482, 2485, 2495 และ 2497  

ซึ่งแต่ละฉบับมี  การกำหนดชั้นประจำตัวราชการ และเทียบตำแหน่งเข้าสู่ชั้นยศ กล่าวคือ ชั้นประจำตัวข้าราชการ จะมี 5 ชั้น คือ ชั้นจัตวา ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ กำหนดเงินเดือน ให้ได้รับตามชั้นทั้ง 5 และกำหนด ให้มีตำแหน่งหลัก 6 ตำแหน่ง คือ เสมียนพนักงาน ประจำแผนก หัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง อธิบดี  และปลัดกระทรวง อีกทั้งกำหนดว่าตำแหน่งใด ให้แต่งตั้งจากข้าราชการชั้นนั้น

ในยุคนี้เป็นยุคที่อำนาจของ ก.พ. ถูกลดและเพิ่มสลับกันเป็นระยะ ๆ  เนื่องจากพอให้อำนาจ ก.พ. มาก ราชการก็ล่าช้า พอกระจายอำนาจไปที่กระทรวง ทบวง กรม ก็มีข้อครหาเรื่องไม่เป็นธรรม  เล่นพรรคเล่นพวก เหลื่อมล้ำไม่ได้มาตรฐาน ยิ่งเมื่อมีการแยกข้าราชการออกมากประเภทและมีการตั้ง  องค์การบริหารงานบุคคลแยกออกจาก ก.พ. จึงเกิดปัญหาขาดเอกภาพ เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม  ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันมากยิ่งขึ้น ปลายยุคนี้ได้มีข้าราชการเพิ่มขึ้นอีก 2 ประเภท คือ มีการออกกฎหมาย  จัดระเบียบข้าราชการอัยการ (พ.ศ. 2503)  และข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2507)

5.   ยุคระบบจำแนกตำแหน่ง (พ.ศ. 2518 – ปัจจุบัน)

ใน พ.ศ. 2518  ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518     เป็นกฎหมายหลักในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือน กฎหมายฉบับนี้เปลี่ยนหลักการสำคัญ     ที่เดิมเคยยึดคนเป็นหลัก มาเป็นยึดงานเป็นหลัก โดยอาจถือได้ว่า การเปลี่ยนแปลงตามพระราชบัญญัติ    ฉบับนี้เป็นการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลในราชการครั้งสำคัญ ซึ่งสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลง มีที่น่าสนใจ ดังนี้

1)                  ยกเลิกชั้นประจำตัวข้าราชการมาใช้เป็นระบบตำแหน่งตามหลักระบบจำแนกตำแหน่ง

          (Position  Classification)  โดยกำหนดให้มี 11 ระดับ

2)                  กำหนดให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนตามระดับตำแหน่ง

3)                  หลักการให้ข้าราชการประจำมีความเป็นกลางทางการเมือง

4)                  เปลี่ยนหลักการเลือกสรรบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง โดยอาจใช้วิธีการสอบหรือคัดเลือกได้

ตามเหตุผลหรือความจำเป็นของแต่ละตำแหน่ง และยังเปิดโอกาสให้บรรจุคนเข้ารับราชการ ในระดับตำแหน่งสูง ๆ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิด้วย

5)                  นำหลักการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่งบริหารทุก 4 ปี มาใช้

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในด้านองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) มีการปรับปรุงหน้าที่ความรับผิดชอบของสำนักงาน ก.พ. และการปรับปรุงระเบียบวินัย และการอุทธรณ์ ตลอดจนมีการสร้างระบบร้องทุกข์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังกำหนด ให้มีการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ตลอดจนยกเลิกข้าราชการวิสามัญอีกด้วย

          กล่าวได้ว่า ในยุคนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ มีการแยกประเภทข้าราชการใหม่เพิ่มอีก 4ประเภท คือ ข้าราชการเมืองตาม พระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการ พ.ศ. 2518 ข้าราชการรัฐสภาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการสภา พ.ศ. 2518 ข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติข้าราชการครู พ.ศ.2521 และข้าราชการตำรวจ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521

กระบวนการบริหารงานบุคคล

          กระบวนการบริหารงานบุคคลนั้น เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในหลายขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้

          1.  การวางแผนกำลังคน

          2. การกำหนดตำแหน่ง

          3.  การกำหนดค่าตอบแทน

          4.  การสรรหาและคัดเลือก

          5.  การพัฒนาบุคลากร

          6.  การประเมินผลปฏิบัติงาน

          7.  การเลื่อนตำแหน่ง

          8.  การโอน หรือย้าย

          9.  ขวัญและวินัย

          10.  การพ้นจากราชการ ระบบบำเหน็จบำนาญ

องค์การกลางการบริหารงานบุคคล

                องค์การกลางบริหารงานบุคคลภาครัฐ (Central  Personnel  Agency)  เป็นกลไกสำคัญในการ   ควบคุมและกำกับดูแลให้การบริหารงานบุคคลภาครัฐเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน แนวความคิดการจัดตั้ง      องค์กรกลางบริหารงานบุคคล เพื่อให้มีความเป็นกลางได้จริง จึงควรเป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับ ฝ่ายบริหาร หรืออยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารโดยตรง จะได้พ้นจากอิทธิพลของฝ่ายบริหาร    ในบางประเทศโดยเฉพาะที่ยึดรูปแบบการบริหารงานบุคคลในสมัยดั้งเดิมมักจัดองค์กลาง  ในรูปคณะกรรมการ คือ “Civil Service Commission” ซึ่งจะมุ่งเน้นภาระหน้าที่ ในด้านการเลือกสรรบุคคลเข้ารับราชการและหน้าที่สำคัญอื่น ๆ ในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ในบางประเทศอาจมีองค์การกลาง บริหารงานบุคคลหลายองค์การ เพื่อแบ่งภาระหน้าที่ ในการดูแลระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐประเภทต่าง ๆ ให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน ภายในข้าราชการที่จัดไว้ในกลุ่มงานเดียวกัน แต่จุดสำคัญของระบบ    บริหารงานบุคคลภาครัฐก็คือ การรวมอำนาจ (Centralized System) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม  และมาตรฐานในการปฏิบัติการ    ต่อบุคคลทุกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

      แต่ก็มีหลายประเทศที่นิยมจัดรูปแบบองค์การกลางบริหารงานบุคคลในลักษณะการ กระจายอำนาจ(DecentralizedSystem)คือมีหลายองค์การกลางบริหารงานบุคคลเพื่อช่วยกันรับผิดชอบ ในกิจกรรมการบริหารงานบุคคล เรื่องต่าง ๆ โดยมักจะคงบางส่วนซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายมาตรฐาน และการพิทักษ์ระบบคุณธรรมไว้เป็นส่วนกลาง แล้วกระจายความรับผิดชอบ ในด้านดำเนินการ บริหารงานบุคคล   เฉพาะเรื่องให้องค์การอื่นมอบให้แก่ส่วนราชการต่าง ๆ รับไปดำเนินการเอง

          สำหรับประเทศไทยได้แบ่งแยกองค์การกลางบริหารงานบุคคลออกตามประเภท ข้าราชการ ในรูปแบบของคณะกรรมการข้าราชการประเภทต่าง ๆ โดยแต่ละองค์การกลางต่างมีอิสระ ในการกำหนดนโยบาย กฎระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล สำหรับประเภทข้าราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบ

       หน้าที่และบทบาทขององค์การกลางบริหารงานบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะมีหน้าที่ต่าง ๆ ดังนี้

          1.  กำหนดนโยบายด้านการบริหารงานบุคคลภาครัฐ

          2.  เป็นที่ปรึกษาของฝ่ายบริหารในการดำเนินการด้านการบริหารงานบุคคลภาครัฐ

          3.  พิทักษ์รักษาระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ

          4.  ออกกฎระเบียบ และควบคุมให้มีการปฏิบัติตาม

          5.  ดำเนินการในบางเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญของกระบวนการบริหารงานบุคคล เช่น การดำเนินการสรรหาบุคคลมาทำงาน การกำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือน เป็นต้น

องค์การกลางการบริหารงานบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือนของไทยเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันต่างก็มีบทบาทอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลักการบริหารงานบุคคลของตนเอง ซึ่งต่างก็พยายามจะให้มีอิสระ    และให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ข้าราชการฝ่ายตนมากที่สุด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในหลาย เรื่องในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการของรัฐอีกทั้งยังคงมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง อยู่เป็นประจำดังนั้นแม้จะพยายามจะนำระบบคุณธรรมมาใช้แต่ก็ยังไม่อาจกำจัดระบบอุปถัมภ์ให้พ้นจากวงราชการ ได้อย่างเด็ดขาด

ที่มา www.moj.go.th/upload/main_tip/uploadfiles/184_4482.doc

Content's Picture

Comment(s)


Vote this Content ?

Create by :


person

Status : ผู้ใช้ทั่วไป
ผู้บริหาร